Health

  • สาเหตุของการเกิด ฝ้า และการรักษา
    สาเหตุของการเกิด ฝ้า และการรักษา

    ฝ้า ปัญหาสุดกลุ้มใจของผู้หญิงหลายคน เพราะเมื่อเกิดขึ้นบนใบหน้าแล้ว ก็ยากที่จะรักษาให้หายขาด จึงเป็นเรื่องที่เซ้นซิทีฟมากๆ ในปัญหาผิวหน้าทั้งหมด วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับฝ้ามาฝากทุกคน

    ฝ้า คืออะไร
    ฝ้าหรือ Melasma เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ โดยมักจะขึ้นเป็นวงเล็กๆ สีน้ำตาลก่อน แล้วถ้าไม่หาทางหยุดฝ้า หรือป้องกัน ก็จะค่อยๆ ขยายเป็นปื้นและฝังลึกลงไปในเซลล์ผิว โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม มักเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า

    ฝ้า

    อาการเริ่มต้นของฝ้า

    อาการและอาการแสดง รอยดำหรือรอยคล้ำที่มีลักษณะเป็นปื้น มักพบบริเวณโหนกแก้ม จมูก ริมฝีปาก และหน้าผาก รอยคล้ำนี้จะค่อยๆ เข้มขึ้นตามระยะเวลา ฝ้ามักจะพบได้บ่อยในสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากระดับของฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง

    ลักษณะของฝ้าแต่ละชนิด

    ลักษณะการเกิดฝ้า ฝ้ามีด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่ ฝ้าแบบตื้น เกิดได้ง่าย อยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มีสีน้ำตาลขอบชัด รักษาให้จางลงได้ด้วยการทาครีมกันแดดหรือยาทาฝ้าอ่อน ๆ ฝ้าแบบลึก เกิดในระดับชั้นผิวหนังแท้อยู่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า มีสีม่วง ๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัดเจน รักษาได้ยากกว่าฝ้าแบบตื้น ไม่ค่อยหายขาด

    เป็นฝ้าแดด เกิดจากอะไร

    ฝ้าแดด คือ ฝ้า ประเภทหนึ่งที่มีสาเหตุเกิดจากการได้รับแสงรังสียูวีจากทั้งแสงแดด นอกจากนี้ยังอาจเกิดจาก HEVIS (High Energy Visible Light) ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากแสงไฟ แสงจากโทรศัพท์ แสงจากคอมพิวเตอร์ ฝ้าแดดมักมีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลคล้ำ ดำ แดง หรือเทาอมม่วง หากไม่ได้รับการดูแลก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ

    อาหารที่ช่วยลดฝ้า กระ ตามที่คนญี่ปุ่นแนะนำ

    – ส้ม

    – ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    – มะเขือเทศ

    – ปลาแซลมอน

    – กาแฟ

    – ชาเขียว

    – แอปเปิ้ล

    – เนื้อแดง

    สมุนไพรที่ช่วยรักษาฝ้า

    – รักษาฝ้ากู้หน้าใสด้วย มะนาว น้ำผึ้ง และ สับปะรด

    – ผิวไกลรอยสิวด้วย มะนาว และ ขมิ้นชัน

    – ผิวไบรท์เนียนนุ่ม ด้วย มะนาว น้ำส้มคั้น โยเกิร์ต

    – ผิวกระจ่างใสชุ่มชื่น ด้วย มะนาว น้ำมันมะกอก และ เกลือ

    ที่มา

    thairath.co.th

    vsquareclinic.com

    ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ raymaterson.com

     

Economy

  • น้ำลดตอผุด vs Bank run 4.0
    น้ำลดตอผุด vs Bank run 4.0

    น้ำลดตอผุด vs Bank run 4.0

    ดร.ฐิติมา ชูเชิด Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์

    หลายคนมองว่าเหตุการณ์แบงก์หลายแห่งในสหรัฐฯ ล้มในช่วงปลายวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้ สะท้อนว่านโยบายการเงินสหรัฐฯตึงตัวรุนแรงเริ่มมีผลข้างเคียงต่อเสถียรภาพระบบการเงินของสหรัฐฯเข้าแล้ว ลักษณะคล้ายน้ำลด (สภาพคล่องเหือดลง ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น) เริ่มเห็นตอผุด (ปัญหาสะสมในระบบการเงินเริ่มโผล่)

    อาการน้ำลดตอผุดนี้ เห็นได้จากกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินของบางธนาคารในสหรัฐฯที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงรอบด้าน ท่ามกลางนโยบายการเงินตึงตัวแรงและเร็วเป็นประวัติการณ์ จนเกิดผลขาดทุนจากความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและสภาพคล่อง นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญคือ “เทคโนโลยีดิจิทัล” ที่เป็นตัวการเร่งให้ตื่นตระหนกแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงิน (bank run) เกิดขึ้นปุบปับอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด หลังได้รับรู้ผลประกอบการของธนาคารที่ออกมาดูไม่ค่อยดีนัก ทำให้ปัญหาแบงก์ล้มเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นขึ้นมากเทียบกับอดีต

    ปัญหาการบริหารความเสี่ยงผิดพลาดในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นผสมโรงกับ Bank run ยุค 4.0

    ทำให้ระบบธนาคารอาจเผชิญความเปราะบางได้ง่ายขึ้นมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ที่

    1) ผลประกอบการแบงก์เริ่มส่อเค้าลางปัญหา เช่น บริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยของธนาคารผิดพลาด โดยบริหารสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนคงที่ในสัดส่วนสูง ไม่สมดุลกับสัดส่วนหนี้สินที่จ่ายดอกเบี้ยลอยตัวตามอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เกิดความเสี่ยงสภาพคล่องตามมาได้

    2) การสื่อสารข่าวลบของผลประกอบการผ่านสื่อโซเชียลแพร่สะพัดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

    3) ผู้ฝากเงินในยุคดิจิทัลขาดความเชื่อมั่นโยกเงินฝากออกจากบัญชีในอัตราเร่งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะสามารถทำได้ตลอดเวลา ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน

    4) แบงก์ที่มีปัญหาและมีสัดส่วนเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกัน (unsecured deposit) สูง ยิ่งมีโอกาสเกิด digital bank run มาก

    น้ำลดตอผุด vs Bank run 4.0

    กลไกการรับประกันเงินฝากจึงเป็นเครื่องมือภาครัฐที่สำคัญมากในสถานการณ์เช่นนี้เพื่อป้องกัน bank run ในกรณีของสหรัฐฯ กลไกประกันเงินฝากของ Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) ช่วยกระแส bank run 4.0 ได้ระดับหนึ่ง หลังดำเนินการเป็นกรณีพิเศษอุ้มผู้ฝากเงินทุกรายของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank ที่ล้มไป ไม่ว่าจะมีเงินฝากต่ำกว่าเกณฑ์ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบัญชีหรือไม่ เพื่อไม่ให้ปัญหาขยายวงจนกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ (systematic risk)

    FDIC ออกรายงานทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า การแห่ถอนเงินฝากในอัตราเร่งเช่นที่เกิดขึ้น สะท้อนว่าเกณฑ์การกำกับดูแล ตรวจสอบ และประเมินการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของระบบธนาคารต้องปรับเปลี่ยนให้ทันยุคสมัย นอกจากนี้ FDIC จำเป็นต้องปฏิรูปความครอบคลุมของการประกันเงินฝาก พร้อมออกนโยบายและเครื่องมือเอื้อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเสนอแนวทางปฏิรูประบบ เช่น Targeted coverage ขยายความครอบคลุมการรับประกันเงินฝากให้แตกต่างกันได้ บัญชีเงินฝากของธุรกิจเพื่อจ่ายชำระ (non-interest checking account) ควรได้รับการคุ้มครองวงเงินสูงกว่า

    เหตุการณ์ตึงเครียดในระบบธนาคารของสหรัฐฯ ครั้งนี้สะท้อนว่า ไม่ว่าธนาคารจะใหญ่หรือเล็ก หากปล่อยให้ล้มโดยผู้ฝากเงินไม่ได้รับการช่วยเหลือเพียงพอทันการณ์ อาจทำให้เกิดปัญหาเสถียรภาพเชิงระบบ เพราะมีความเชื่อมโยงกันในระบบการเงินซับซ้อน ภาครัฐจึงไม่อาจปล่อยแบงก์ล้มง่ายเช่นในอดีตแล้ว การอุ้มแบงก์แก้ปัญหา bank run ดูจะกำลังเปลี่ยนโฉมจาก too big to fail เป็น too much systemic risk to fail เช่นที่เกิดขึ้นค่ะ.

    ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th

    ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

    สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : raymaterson.com